อับราฮัม ลินคอล์น (อังกฤษ: Abraham Lincoln อ่านแบบที่ไม่ใช่ทิงลิชว่า เอบราฮัม ลิงเคิน [a.bra.ham - linc.oln]) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของคำพูด “จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร”
ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 กระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลินคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยรักษาไว้ซึ่งสหภาพ ขณะที่เลิกทาส และการส่งเสริมการทำให้เศรษฐกิจและการเงินทันสมัย ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจนทางชายแดนตะวันตก ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และกลายเป็นทนายความชนบท ผู้นำพรรควิก สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1830 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาหนึ่ง สมัยระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1840 หลังการโต้วาทีใน ค.ศ. 1858 ซึ่งทำให้ประเทศมองเห็นการคัดค้านการขยายความเป็นทาสของเขา ลินคอล์นก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่คู่แข่งคนสำคัญ สตีเฟน เอ. ดักลาส ลินคอล์น ผู้เดินสายกลางจาก swing state ได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดยแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลินคอล์นกวาดเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกาใน ค.ศ. 1860 การเลือกตั้งของเขาเป็นสัญญาณแก่เจ็ดรัฐทาสทางใต้ให้ประกาศการแยกตัวออกจาก สหภาพและก่อตั้งสมาพันธรัฐ การแยกตัวออกของชาวใต้ทำให้พรรคของลินคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้ อย่างเด็ดขาด แต่ไม่มีสูตรสำหรับการประนีประนอมหรือการปรองดอง ดังนั้นสงครามจึงเกิดตามมา
เมื่อฝ่ายเหนือระดมพลอย่างกระตือรือร้นอยู่ใต้ธงชาติ หลังการโจมตีค่ายซัมเตอร์ของฝ่ายสมาพันธรัฐเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 ลินคอล์นได้มุ่งความสนใจต่อมิติการทหารและการเมืองของความพยายามในการทำ สงคราม เป้าหมายของเขาปัจจุบันคือการรวมประเทศ เมื่อทางใต้อยู่ในสถานะก่อการกบฏ ลินคอล์นจึงใช้อำนาจของเขายับยั้งหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลใน สถานการณ์นั้น โดยจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่ มีการไต่สวน ลินคอล์นขัดขวางการรับรองสมาพันธรัฐของอังกฤษโดยจัดการกับกรณีเรือเทรนต์ (Trent affair) อย่างฉลาด ในปลาย ค.ศ. 1861 ความพยายามไปสู่การเลิกทาสของเขารวมถึงการออกการประกาศเลิกทาสใน ค.ศ. 1863 การกระตุ้นให้รัฐชายแดนประกาศให้ความเป็นทาสผิดกฎหมาย และการช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่สิบสามผ่าน รัฐสภาคองเกรส ซึ่งปล่อยทาสผิวดำทั่วประเทศเป็นอิสระในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ในที่สุด ลินคอล์นดูแลความพยายามของสงครามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกนายพลระดับสูง รวมทั้งนายพลสั่งการ ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ ลินคอล์นนำตัวผู้นำกลุ่มแยกหลายกลุ่มในพรรคเข้าสู่คณะรัฐมนตรีและกดดันให้ พวกเขาร่วมมือ ภายใต้การนำของลินคอล์น ฝ่ายสหภาพจัดตั้งการปิดล้อมทางทะเลซึ่งปิดการค้าขายตามปกติของฝ่ายใต้ ควบคุมรัฐทาสชายแดนในช่วงต้นของสงคราม เข้าควบคุมการสื่อสารกับเรือปืนบนระบบแม่น้ำทางใต้ และพยายามยึดเมืองหลวงของสมาพันธรัฐที่ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย หลายครั้ง แต่ละครั้งที่นายพลคนหนึ่งล้มเหลว ลินคอล์นจะเปลี่ยนคนใหม่กระทั่งท้ายที่สุด แกรนท์ประสบความสำเร็จใน ค.ศ. 1865
ลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลมเป็นพิเศษซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับประเด็นอำนาจในแต่ละรัฐ เขาพยายามชักจูงสมาชิกพรรคเดโมแครตสาย สงคราม และจัดการเลือกตั้งใหม่ของเขาเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ในฐานะผู้นำฝ่ายแยกสายกลางของพรรครีพับลิกัน ลินคอล์นพบว่า นโยบายและบุคลิกภาพของเขา "ถูกโจมตีจากรอบด้าน" สมาชิกพรรครีพับลิกันหัวรุนแรงต้องการให้ปฏิบัติต่อทางใต้รุนแรงขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตสายสงครามต้องการให้ประนีประนอมมากกว่านี้ กลุ่ม Copperhead เหยียดหยามเขา และผู้สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนที่ปรองดองไม่ได้นั้นวางแผนสังหารเขาในทางการเมือง ลินคอล์นสู้กลับด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยให้คู่แข่งของเขาสู้กันเอง และโดยการวิงวอนต่ออเมริกันชนด้วยพลังวาทศิลป์ สุนทรพจน์ที่เก็ตตีสเบิร์กของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกามันเป็นถ้อยแถลงสัญลักษณ์ของการอุทิศแก่หลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพและประชาธิปไตยของอเมริกา ปลายสงคราม ลินคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) สายกลาง โดยแสวงการรวมประเทศอย่างรวดเร็วผ่านนโยบายการปรองดองอย่างเอื้อเฟื้อในการ เผชิญกับความชักช้าและความแตกแยกอย่างขมขื่น อย่างไรก็ดี หกวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการสั่งการของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลินคอล์นถูกลอบสังหารโดยนักแสดงและผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ การลอบสังหารลินคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกและ ทำให้ทั้งประเทศโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณะจัดลินคอล์นเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างต่อเนื่อง
ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 กระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลินคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยรักษาไว้ซึ่งสหภาพ ขณะที่เลิกทาส และการส่งเสริมการทำให้เศรษฐกิจและการเงินทันสมัย ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจนทางชายแดนตะวันตก ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และกลายเป็นทนายความชนบท ผู้นำพรรควิก สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1830 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาหนึ่ง สมัยระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1840 หลังการโต้วาทีใน ค.ศ. 1858 ซึ่งทำให้ประเทศมองเห็นการคัดค้านการขยายความเป็นทาสของเขา ลินคอล์นก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่คู่แข่งคนสำคัญ สตีเฟน เอ. ดักลาส ลินคอล์น ผู้เดินสายกลางจาก swing state ได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดยแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลินคอล์นกวาดเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกาใน ค.ศ. 1860 การเลือกตั้งของเขาเป็นสัญญาณแก่เจ็ดรัฐทาสทางใต้ให้ประกาศการแยกตัวออกจาก สหภาพและก่อตั้งสมาพันธรัฐ การแยกตัวออกของชาวใต้ทำให้พรรคของลินคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้ อย่างเด็ดขาด แต่ไม่มีสูตรสำหรับการประนีประนอมหรือการปรองดอง ดังนั้นสงครามจึงเกิดตามมา
เมื่อฝ่ายเหนือระดมพลอย่างกระตือรือร้นอยู่ใต้ธงชาติ หลังการโจมตีค่ายซัมเตอร์ของฝ่ายสมาพันธรัฐเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 ลินคอล์นได้มุ่งความสนใจต่อมิติการทหารและการเมืองของความพยายามในการทำ สงคราม เป้าหมายของเขาปัจจุบันคือการรวมประเทศ เมื่อทางใต้อยู่ในสถานะก่อการกบฏ ลินคอล์นจึงใช้อำนาจของเขายับยั้งหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลใน สถานการณ์นั้น โดยจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่ มีการไต่สวน ลินคอล์นขัดขวางการรับรองสมาพันธรัฐของอังกฤษโดยจัดการกับกรณีเรือเทรนต์ (Trent affair) อย่างฉลาด ในปลาย ค.ศ. 1861 ความพยายามไปสู่การเลิกทาสของเขารวมถึงการออกการประกาศเลิกทาสใน ค.ศ. 1863 การกระตุ้นให้รัฐชายแดนประกาศให้ความเป็นทาสผิดกฎหมาย และการช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่สิบสามผ่าน รัฐสภาคองเกรส ซึ่งปล่อยทาสผิวดำทั่วประเทศเป็นอิสระในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ในที่สุด ลินคอล์นดูแลความพยายามของสงครามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกนายพลระดับสูง รวมทั้งนายพลสั่งการ ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ ลินคอล์นนำตัวผู้นำกลุ่มแยกหลายกลุ่มในพรรคเข้าสู่คณะรัฐมนตรีและกดดันให้ พวกเขาร่วมมือ ภายใต้การนำของลินคอล์น ฝ่ายสหภาพจัดตั้งการปิดล้อมทางทะเลซึ่งปิดการค้าขายตามปกติของฝ่ายใต้ ควบคุมรัฐทาสชายแดนในช่วงต้นของสงคราม เข้าควบคุมการสื่อสารกับเรือปืนบนระบบแม่น้ำทางใต้ และพยายามยึดเมืองหลวงของสมาพันธรัฐที่ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย หลายครั้ง แต่ละครั้งที่นายพลคนหนึ่งล้มเหลว ลินคอล์นจะเปลี่ยนคนใหม่กระทั่งท้ายที่สุด แกรนท์ประสบความสำเร็จใน ค.ศ. 1865
ลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลมเป็นพิเศษซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับประเด็นอำนาจในแต่ละรัฐ เขาพยายามชักจูงสมาชิกพรรคเดโมแครตสาย สงคราม และจัดการเลือกตั้งใหม่ของเขาเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ในฐานะผู้นำฝ่ายแยกสายกลางของพรรครีพับลิกัน ลินคอล์นพบว่า นโยบายและบุคลิกภาพของเขา "ถูกโจมตีจากรอบด้าน" สมาชิกพรรครีพับลิกันหัวรุนแรงต้องการให้ปฏิบัติต่อทางใต้รุนแรงขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตสายสงครามต้องการให้ประนีประนอมมากกว่านี้ กลุ่ม Copperhead เหยียดหยามเขา และผู้สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนที่ปรองดองไม่ได้นั้นวางแผนสังหารเขาในทางการเมือง ลินคอล์นสู้กลับด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยให้คู่แข่งของเขาสู้กันเอง และโดยการวิงวอนต่ออเมริกันชนด้วยพลังวาทศิลป์ สุนทรพจน์ที่เก็ตตีสเบิร์กของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกามันเป็นถ้อยแถลงสัญลักษณ์ของการอุทิศแก่หลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพและประชาธิปไตยของอเมริกา ปลายสงคราม ลินคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) สายกลาง โดยแสวงการรวมประเทศอย่างรวดเร็วผ่านนโยบายการปรองดองอย่างเอื้อเฟื้อในการ เผชิญกับความชักช้าและความแตกแยกอย่างขมขื่น อย่างไรก็ดี หกวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการสั่งการของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลินคอล์นถูกลอบสังหารโดยนักแสดงและผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ การลอบสังหารลินคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกและ ทำให้ทั้งประเทศโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณะจัดลินคอล์นเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างต่อเนื่อง
อับราฮัม ลินคอล์น ในช่วง 1809 - 1854
ชิวิตตอนต้น
อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลินคอล์นและแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน รัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลินคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก รัฐเพนซิลเวเนีย ไปยัง รัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา[6]
บางครั้งโธมัส ลินคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลินคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน รัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด 200$ นำไปใช้หนี้ ครอบครัวของลินคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลินคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย
ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลินคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ รัฐอินดีแอนา จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส
เมื่อลินคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโคป่วยนม เมื่ออายุ 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลินคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน
ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลินคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะเมคอน รัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลินคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ มลรัฐอิลลินอยส์
ลินคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลินคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย ลินคอล์นหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ การตกปลา เพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์
ชีวิตครอบครัว
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 อับราฮัม ลินคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่นๆเสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโกการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860
อับราฮัม ลินคอล์น ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1860 เอาชนะคู่ต่อสู้จากทางพรรคเดโมแครต สตีเฟ่น เอ. ดักลาส, จอห์น ซี. เบร็กกินลิดจ์ และจอห์น เบลล์ จากพรรคคอนสติทูชันยูเนียน (Constitutional Union Party) ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากพรรครีพับลิกัน