วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

Abraham Lincoln

อับราฮัม ลินคอล์น (อังกฤษ: Abraham Lincoln อ่านแบบที่ไม่ใช่ทิงลิชว่า เอบราฮัม ลิงเคิน [a.bra.ham - linc.oln]) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของคำพูด “จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร”
ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 กระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลินคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยรักษาไว้ซึ่งสหภาพ ขณะที่เลิกทาส และการส่งเสริมการทำให้เศรษฐกิจและการเงินทันสมัย ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจนทางชายแดนตะวันตก ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และกลายเป็นทนายความชนบท ผู้นำพรรควิก สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1830 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาหนึ่ง สมัยระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1840 หลังการโต้วาทีใน ค.ศ. 1858 ซึ่งทำให้ประเทศมองเห็นการคัดค้านการขยายความเป็นทาสของเขา ลินคอล์นก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่คู่แข่งคนสำคัญ สตีเฟน เอ. ดักลาส ลินคอล์น ผู้เดินสายกลางจาก swing state ได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดยแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลินคอล์นกวาดเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกาใน ค.ศ. 1860 การเลือกตั้งของเขาเป็นสัญญาณแก่เจ็ดรัฐทาสทางใต้ให้ประกาศการแยกตัวออกจาก สหภาพและก่อตั้งสมาพันธรัฐ การแยกตัวออกของชาวใต้ทำให้พรรคของลินคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้ อย่างเด็ดขาด แต่ไม่มีสูตรสำหรับการประนีประนอมหรือการปรองดอง ดังนั้นสงครามจึงเกิดตามมา
เมื่อฝ่ายเหนือระดมพลอย่างกระตือรือร้นอยู่ใต้ธงชาติ หลังการโจมตีค่ายซัมเตอร์ของฝ่ายสมาพันธรัฐเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 ลินคอล์นได้มุ่งความสนใจต่อมิติการทหารและการเมืองของความพยายามในการทำ สงคราม เป้าหมายของเขาปัจจุบันคือการรวมประเทศ เมื่อทางใต้อยู่ในสถานะก่อการกบฏ ลินคอล์นจึงใช้อำนาจของเขายับยั้งหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลใน สถานการณ์นั้น โดยจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่ มีการไต่สวน ลินคอล์นขัดขวางการรับรองสมาพันธรัฐของอังกฤษโดยจัดการกับกรณีเรือเทรนต์ (Trent affair) อย่างฉลาด ในปลาย ค.ศ. 1861 ความพยายามไปสู่การเลิกทาสของเขารวมถึงการออกการประกาศเลิกทาสใน ค.ศ. 1863 การกระตุ้นให้รัฐชายแดนประกาศให้ความเป็นทาสผิดกฎหมาย และการช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่สิบสามผ่าน รัฐสภาคองเกรส ซึ่งปล่อยทาสผิวดำทั่วประเทศเป็นอิสระในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ในที่สุด ลินคอล์นดูแลความพยายามของสงครามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกนายพลระดับสูง รวมทั้งนายพลสั่งการ ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ ลินคอล์นนำตัวผู้นำกลุ่มแยกหลายกลุ่มในพรรคเข้าสู่คณะรัฐมนตรีและกดดันให้ พวกเขาร่วมมือ ภายใต้การนำของลินคอล์น ฝ่ายสหภาพจัดตั้งการปิดล้อมทางทะเลซึ่งปิดการค้าขายตามปกติของฝ่ายใต้ ควบคุมรัฐทาสชายแดนในช่วงต้นของสงคราม เข้าควบคุมการสื่อสารกับเรือปืนบนระบบแม่น้ำทางใต้ และพยายามยึดเมืองหลวงของสมาพันธรัฐที่ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย หลายครั้ง แต่ละครั้งที่นายพลคนหนึ่งล้มเหลว ลินคอล์นจะเปลี่ยนคนใหม่กระทั่งท้ายที่สุด แกรนท์ประสบความสำเร็จใน ค.ศ. 1865
ลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลมเป็นพิเศษซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับประเด็นอำนาจในแต่ละรัฐ เขาพยายามชักจูงสมาชิกพรรคเดโมแครตสาย สงคราม และจัดการเลือกตั้งใหม่ของเขาเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ในฐานะผู้นำฝ่ายแยกสายกลางของพรรครีพับลิกัน ลินคอล์นพบว่า นโยบายและบุคลิกภาพของเขา "ถูกโจมตีจากรอบด้าน" สมาชิกพรรครีพับลิกันหัวรุนแรงต้องการให้ปฏิบัติต่อทางใต้รุนแรงขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตสายสงครามต้องการให้ประนีประนอมมากกว่านี้ กลุ่ม Copperhead เหยียดหยามเขา และผู้สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนที่ปรองดองไม่ได้นั้นวางแผนสังหารเขาในทางการเมือง ลินคอล์นสู้กลับด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยให้คู่แข่งของเขาสู้กันเอง และโดยการวิงวอนต่ออเมริกันชนด้วยพลังวาทศิลป์ สุนทรพจน์ที่เก็ตตีสเบิร์กของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกามันเป็นถ้อยแถลงสัญลักษณ์ของการอุทิศแก่หลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพและประชาธิปไตยของอเมริกา ปลายสงคราม ลินคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) สายกลาง โดยแสวงการรวมประเทศอย่างรวดเร็วผ่านนโยบายการปรองดองอย่างเอื้อเฟื้อในการ เผชิญกับความชักช้าและความแตกแยกอย่างขมขื่น อย่างไรก็ดี หกวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการสั่งการของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลินคอล์นถูกลอบสังหารโดยนักแสดงและผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ การลอบสังหารลินคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกและ ทำให้ทั้งประเทศโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณะจัดลินคอล์นเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างต่อเนื่อง
 
 

อับราฮัม ลินคอล์น ในช่วง 1809 - 1854

ชิวิตตอนต้น

 

อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลินคอล์นและแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน รัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลินคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก รัฐเพนซิลเวเนีย ไปยัง รัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา[6]
บางครั้งโธมัส ลินคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลินคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน รัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด 200$ นำไปใช้หนี้ ครอบครัวของลินคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลินคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย
ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลินคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ รัฐอินดีแอนา จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส
เมื่อลินคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโคป่วยนม เมื่ออายุ 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลินคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน
ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลินคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะเมคอน รัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลินคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ มลรัฐอิลลินอยส์
ลินคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลินคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย ลินคอล์นหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ การตกปลา เพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์
ภาพแรกของมาดามลินคอล์น ถ่ายโดย ชีเฟิร์ด ในปี 1846

ชีวิตครอบครัว

ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 อับราฮัม ลินคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่นๆเสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโก


การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860

"เดอะเรลแคนดีเดต" เป็นนโยบายที่ประกาศว่าจะยกเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนโยบายหลักของลินคอล์น ที่ถูกยกให้เป็นประเด็นสำคัญในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
การเข้าไปเป็นตัวแทนในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถือนั้น ถือเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุด ลินคอล์นถูกคัดเลือกให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่ง เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ โดยการแสดงทัศนะเกี่ยวกับระบบทาสในสหรัฐ ที่ถูกมองว่าสิ่งนี้เป็นนโยบายที่ดูจะเหมาะสมกว่าคู่แข่งอย่าง วิลเลียม เอช. ซีวาร์ด และ แซลมอน พี. เชส คู่ต่อสู้คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประสบการณ์การปกครองที่มากกว่า ได้คู่แข่งภายในพรรคและเป็นจุดอ่อนในวิกฤตในรัฐทางตะวันตก ขณะที่ลินคอล์นมองเห็นเป็นสิ่งที่เหมาะสมผู้ซึ่งสามารถเอาชนะในตะวันตกได้ สมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่เห็นด้วยกับลินคอล์น ที่บริเวณตอนเหนือทำให้พรรคต้องผิดหวัง ขณะที่ผู้คนที่ตกเป็นทาสจำนวนมากถูกผูกมัดเอาไว้แน่น ลินคอล์นยังเข้าใจผิดในความลึกซึ้งของการปฏิวัติในทางใต้ และยังปรากฏให้เห็นลัทธิชาตินิยมอีกด้วย ตลอดทั้งศตวรรษ 1850 เขายังได้ปฏิเสธที่จะเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมือง และผู้สนับสนุนขอลินคอล์นได้ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเรียกร้องว่าการเลือก ตั้งของเขาจะกระตุ้นให้ถอนตัวออก
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860
ตลอดการเลือกตั้งที่ผ่านมา ลินคอล์นก็ไม่ได้รณรงค์หาเสียงหรือกล่าวสุนทรพจน์แต่อย่างใด สิ่งนี้เองได้ถูกพรรครีพับลิกันหยิบยกขึ้นมา ผู้ซึ่งใช้เทคนิคล่าสุดเพื่อสนับสนุนให้เกิดแรงบันดาลใจภายในพรรค และไม่มีการโฆษณาหาเสียงอย่างแท้จริง ในทางใต้ยกเว้นเมืองชายแดนไม่มากนัก เช่น เซนท์หลุยส์, มิสซูรี, และ วิลลิ่ง, เวอร์จิเนีย แต่แท้ที่จริงแล้วทางพรรคเองก็ไม่ได้แข่งขันทางใต้แต่อย่างเดียว ในทางเหนือมีโฆษกพรรครีพับลิกันอยู่หลายคน โปสเตอร์หาเสียงและใบปลิวจำนวนหลายตัน และบทแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์จำนวนหลายฉบับ โดยที่สิ่งเหล่านี้ได้ชูประเด็นสำคัญของพรรคสองเรื่องคือ หนึ่ง นโยบายของพรรค สอง ชีวประวัติของลินคอล์นที่เกิดเป็นเด็กชาวนายากจน มีความอัจริยะภาพโดยกำเนิดและการลุกขึ้นมาสู้ของเขาเพื่อให้ยกเลิกระบบ ทาสอย่างกล้าหาญและเต็มที่
อับราฮัม ลินคอล์น ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1860 เอาชนะคู่ต่อสู้จากทางพรรคเดโมแครต สตีเฟ่น เอ. ดักลาส, จอห์น ซี. เบร็กกินลิดจ์ และจอห์น เบลล์ จากพรรคคอนสติทูชันยูเนียน (Constitutional Union Party) ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากพรรครีพับลิกัน
 

Vespa





เวสป้า (อังกฤษ: Vespa) เป็นรถมอเตอร์สกู๊ตเตอร์ เริ่มผลิตที่เมืองปอนเตเดรา ในแคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1946 โดย Piaggio & Co,S.p.A
เวสป้าแพร่หลายในช่วงปี 50s และ 60s เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ โดยเฉพาะพวก ม็อด
เวสป้าในภาษาอิตาลีแปลว่า ตัวต่อ


ประวัติ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four - Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือสกู๊ตเตอร์ หรือ รถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่ง ขับขี่แบบง่ายๆ ถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า"มันเหมือนตัวต่อร้องเลย" ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อ (Wasp)
รุ่นแรกเป็นสกู๊ตเตอร์ขนาด เล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียว หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ออกมา รถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 cc. ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc., 150 cc. และ 200 cc. ตามลำดับ
ในประเทศไทย Piaggio Group มีตัวแทนจำหน่ายรถเวสป้า ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เวสปิอาริโอ ​​​(ประเทศไทย) จำกัด


รุ่นต่างๆของ เวสป้า

เวสป้าออกมาทั้งหมด 138 รุ่น จนถึงปัจจุบัน

รุ่นเก่าๆ

  • Paperino - รุ่นแรก ผลิตในปี 1945 ที่ Biella
  • AMCA Troupes Aeról Portées Mle. 56 - ดัดแปลงโดยกองทัพฝรั่งเศส
  • VBC Super 150
  • VLB Sprint 150
  • VBB Standard 150
  • V9A
  • VNA
  • Vespa U - U มาจาก utilitaria (ภาษาไทย แปลว่า ประหยัด) เป็นรุ่นปี 1953 model ราคา 110 mila Lira ถูกผลิตออกมา 7000 คัน
  • GS 150
  • SS180
  • GS160
  • Standard 90 (3 spd)
  • Standard 50 (3 spd)
  • SS50 (4 spd)
  • SS90 (4 spd)-90 SS Super Sprint
  • 150 GL
  • 90 Racer
  • 125 TS
  • 100 Sport
  • 125 GTR
  • 150 Sprint Veloce
  • 180 SS Super Sport
  • Rally 180
  • Rally 200
  • Primavera 125 also ET3 (3 port version)
  • PK 50
  • PK 50 XL
  • PK 50 Roma (Automatic)
  • 50 S
  • 50 Special
  • 50 Special Elestart
  • 50 Sprinter / 50 SR (D)
  • 50 Special Revival
  • COSA 1 - 125cc, 150cc, 200cc
  • COSA 2 - 125cc, 150cc, 200cc
  • P80 / P80 E (France)
  • P80X/PX80 E (France)
  • PK 80 S / Elestart
  • PK 80 S Automatica / Elestart
  • PK100 S / Elestart
  • PK100 S Automatica
  • PK100 XL
  • PK125 XL / Elestart
  • PK 125 S
  • PK 125 E
  • PK 125 automatica (automatic tranny)
  • P 125 E
  • P200E
  • PX200EFL
  • PX200 Serie Speciale
  • T5 / Elestart (5 port engine 125cc P series)
  • T5 Classic (5 port engine 125cc P series)
  • T5 Millennium (5 port engine 125cc P series)

รุ่นล่าสุด

  • ET2 50 - 2stroke
  • ET4 50 - 4stroke
  • ET4 125 (Euro Model)
  • ET4 150 (US model)

รุ่นปัจจุบัน

  • Vespa S 50 และ 125
  • GT60° 250cc
  • LX 50
  • LX 125
  • LXV 125 (ครบรอบ 60 ปีของรุ่น LX 125)
  • LX 150
  • GT 125
  • GT 200
  • GTS 250
  • GTV 250 (ครบรอบ 60 ปีของรุ่น GTS 250)
  • PX 125
  • PX 150 (ผลิตใหม่ในอเมริกาและแคนาดา ในปี 2004)
  • PX 200

รุ่นพิเศษ

  • Montlhéry - ผลิตในปี 1950 เพื่อทำลายสถิติในงาน Montlhéry
  • Torpedo - ผลิตในปี 1951 วิ่งได้เร็วถึง 171 กม/ชม

Bee Gees




บีจีส์ (อังกฤษ: Bee Gees) ประกอบด้วยสามพี่น้องตระกูลกิ๊บส์ "มอริซ, โรบิน, แบร์รี" ทั้งสามคนเกิดที่เกาะมาน ประเทศอังกฤษ ในช่วยวัยเด็ก เขาอาศัยอยู่ในเขต คอลตัน,แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ก่อนที่เขาจะย้ายไปพำนักอยู่ที่ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ในปลายยุค 1950 และเริ่มต้นทำวงดนตรีที่นั่น และหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จกับซิลเกิ้ลเพลง Spicks and Specks (ภายหลังเป็นซิงเกิ้ลที่ 12 ของวง) บนเกาะออสเตรเลีย พวกเขาก็ตัดสินใจกลับไปที่ประเทศอังกฤษ ในเดือน มกราคม ค.ศ.1967 และเขาได้พบกับ โรเบิร์ต สติงวู้ด และเป็นโปรดิวเซอร์ของเขาเป็นต้นมา และทำให้พวกเขาโด่งดังไปทั่วโลก และมีงานเพลงที่ขายดีที่สุด ทำรายได้ถึง 220 ล้าน พวกเขาถูกบันทึกใน Rock and Roll Hall of Fame ในปี ค.ศ. 1997 ติดอันดับ 1 ใน 5 งานดนตรีที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อป เป็นรองก็แต่งานของอภิมหาศิลปินอย่าง “เอลวิส เพรสลีย์” “เดอะ บีเทิลส์” “ไมเคิล แจ็กสัน” และ “พอล แมคคาร์ตนีย์”
แต่หลังจากที่ มอริช กิบบ์ ได้เสียชีวิตลงอย่างประทันหันเมื่อ 12 มกราคม ค.ศ. 2003 พวกเขาจึงประกาศที่จะยุบวง บีจีส์ ลงอย่างเป็นทางการ ภายหลังครบรอบ 45 ปี ของวงบีจีส์ แต่แล้วในปี ค.ศ. 2009 ทั้ง แบร์รี่ และ โรบิน กิบบ์ ตกลงที่จะทำวง บีจีส์ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 


ประวัติ

สามพี่น้องตระกูลกิบบ์ส "มอริซ, โรบิน, แบร์รี" ทั้งสามคนเกิดที่เกาะมาน ประเทศอังกฤษ โดย มอริซและโรบินเป็นฝาแฝดกัน ปี 2498 สามพี่น้องกิบบ์ เริ่มโตพอที่จะออกตระเวนโชว์ความสามารถตามงานเทศกาล และรายการโทรทัศน์ต่างๆ โดยในช่วงนี้พี่น้องกิบบ์ใช้ชื่อวงหลายชื่ออาทิ “บูลแคตส์” และ “แร็ตเทิ้ล สเน็กส์” จนปี 2501 ต่อมาย้ายไปพำนักในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับตั้งชื่อวงใหม่ว่า บีจีส์ (Bee Gees) ซึ่งย่อมาจากคำเต็ม ซึ่งคิดขึ้นจากดีเจวิทยุ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) จากการนำชื่อย่อของเขาเอง และของ บิลล์ กู๊ด (Bill Goode) (ที่เห็นพวกเขาแสดงที่ Speedway Circuit เมืองบริสเบน) -นำมารวมกัน- ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งจำเพาะเจาะจงหมายถึง "Brothers Gibb"ตามความเข้าใจกันส่วนใหญ่
ค.ศ. 1962 บีจีส์เซ็นสัญญาทำอัลบั้มชุดแรก “เดอะ บีจีส์ ซิง แอนด์ เพลย์ 14 แบร์รี่ ซองส์” กับสังกัด“เฟสทีฟเร็กคอร์ด” แต่ไม่ประสบความสำเร็จในออสเตรเลีย ทำให้พี่น้องกิบบ์ตัดสินใจไปประเทศอังกฤษ (แต่ภายหลัง เพลง Spicks and Specks กลับได้ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในหนังสือพิมพ์เพลง โก-เซ็ต ของออสเตรเลีย ในเดือน ตุลาคม ค.ศ. 1966 ) ต่อมาใน ค.ศ. 1966 ในยุคที่เดอะ บีทเทิลส์โด่งดังเป็นอันมาก พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ “โรเบิร์ต สติกวู้ด” จนมีผลงานชุด “นิวยอร์กไมนิ่ง ดิสแอสเตอร์ 1941” ออกวางตลาดกลาง ค.ศ. 1967 อัลบั้มชุดนี้ติดอันดับบนชาร์ตเพลงยอดนิยมทั้งในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “ทูเลิฟซัมบอดี” และมีเพลงฮิตอื่นอย่าง “ฮอลิเดย์” “แมสซาชูเล็ตต์” “เวิดส์” และ “ไอสตาร์ตเต็ดอะโจ๊กส์” เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเพลงของบีจีส์คือ เป็นเพลงป็อปเน้นเสียงประสานด้วยเสียงหลอกบีบเสียงให้สูงผิดธรรมชาติหรือที่ เรียกว่า “ฟอลเซตโต”ส่วนเนื้อเพลงจะมีมุมมองแปลกๆ
แต่แล้วก็เกิดความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างพี่น้องทั้งสามคนจนได้แยก ย้ายออกไปมีผลงานเดี่ยว ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะกลับมารวมตัวกันใหม่ใน ค.ศ. 1970 มอริซเข้าไปหลงใหลในแวดวงสังคมคนดัง กับศิลปินซุปเปอร์สตาร์ยุคนั้น เช่น เดอะ บีทเทิ้ลส์,เดวิด โบวี่ และไมเคิล เคน มอริซได้สมรสกับ “ลูลู่” นักร้องเพลงป็อปชื่อดังที่วิวาห์กันใน ค.ศ. 1967 แต่ชีวิตคู่ก็ต้องพังทลายในปี ค.ศ. 1974 จนมาแต่งงานครั้งที่สองกับ “อีวอน สเปนเซอร์ลีย์” โรคติดเหล้าของมอริซจึงดีขึ้น มอริซกลับมาดื่มหนักอีกครั้ง เมื่อแอนดี้น้องชายคนเล็กเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1988 เพราะเสพยาเกินขนาด
ในยุคสมัยดนตรีดิสโก้เฟื่องฟู ชื่อเสียงบีจีส์ขจรขจายไปทั่วโลก ภายหลังปล่อยอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ “แซตเทอร์เดย์ไนต์ฟีเวอร์” ที่มีจอห์น ทราโวตา แสดงนำประกอบด้วยเพลง “มอร์แดนอะวูแมน”“สเตอิ้ง อะไลฟ์” “ไจฟ์ ทอล์กกิ้น” ความสำเร็จได้รับการตอกย้ำด้วยอัลบั้ม “สปิริตส์แฮฟวิ่งโฟลว” ปี 2522 ซึ่งมีเพลงอันดับ 1 อย่าง เพลง “ทราจีดี้” ,“ทูมัชเฮฟเวน” และ“เลิฟยูอินไซด์เอาต์” จากนี้เองได้สร้างสถิติทำให้บีจีส์มีเพลงอันดับ 1 ในอเมริกาติดต่อกัน 6 เพลง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาร์ทเพลงอเมริกา (ซึ่งต่อมาวิทนีย์ ฮูสตันทำได้อีกครั้ง) อัลบั้มชุดนี้ทำยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก แต่เมื่อยุคดิสโก้ถึงคราวดับสูญในคริสต์ทศวรรษที่ 1980 แนวดนตรียุคนั้นก็เข้าสู่กระแสของ “พังก์ร็อกและนิวเวฟ” ชื่อเสียงของบีจีส์ก็เงียบตามไปด้วย แต่ก็มีเพลงฮิตบนเกาะอังกฤษในปี พ.ศ. 2530 กับเพลง “ยูวินอะเกน” จากอัลบั้ม อี.เอส.พี. บีจีส์ ประคับประคองชื่อเสียงแบบเสมอตัวได้ต่อมาอีก 20 ปี และออกอัลบั้ม “ดิสอิสแวร์ไอเคมอิน” ค.ศ. 2001 ซึ่งมีเพลงดังอย่าง “อะโลน”
  • มอริซ กิบบ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2003
  • โรบิน กิบบ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2012

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

Persian Cat (แมวเปอร์เซีย)

   
                                                      
 แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็น พันธุ์แรกด้วย

           แมว เปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศ อังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian
ลักษณะสายพันธุ์

           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผาก ชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขน จะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

           6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส
อาหารและการเลี้ยงดู

           อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น

           เกรดเพ็ด(PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา

           เกรดทำพันธุ์และโชว์(Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน

           นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์

           เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วย ป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิ ต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

           ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของ ระบบย่อยอาหารได้
โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทาง พันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมี ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา

           เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ

           แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป

นกเค้าแคระ Glaucidium brodiei (collared owlet)

                                                        
นกเค้าแคระ  Glaucidium brodiei (collared owlet) เป็นนกเค้าที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางเพียง 15 เซ็นติเมตรเท่านั้น และมีสีสันลวดลายกลมกลืนไปกับกิ่งไม้ทำให้สังเกตเห็นตัวได้ค่อนข้างยาก

นก เค้าแคระมีรูปร่างน่ารักน่ากอดเพราะมีลำตัวอวบอัด มีขนหนานุ่มปกคลุมอย่างหนาแน่น บริเวณคอก็มีขนอยู่อย่างหนาแน่นทำให้ดูเหมือนหัวอยู่ติดกับตัวโดยไม่มีคอ และมีหัวที่กลมโต หน้าแบน ตากลมโตสีเหลืองอยู่ด้านหน้าของใบหน้า ปากสั้นและปากบนโค้งงุ้มแหลมลงมาใช้สำหรับฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆ มีขนเส้นเล็กๆคล้ายหนวดแมวอยู่รอบๆโคนปากทำหน้าที่เป็นเรดาห์นำทาง มีปีกกว้างแต่ปลายปีกมน ขนหางยาวกว่านกเค้าอื่นๆ มีขาสั้นแต่เข็งแรงสีเหลืองนิ้วเท้าค่อนข้างใหญ่และแข็งแรง มีนิ้วเท้าสี่นิ้วเวลาเกาะกิ่งจะอยู่ด้านหน้า2ด้านหลัง2นิ้ว เล็บสีดำ
 นก เค้าแคระทั้ง 2 เพศมีลักษณะและสีสันเหมือนกัน เมื่อมองจากด้านหลังนกเค้าแคระจะมีสีน้ำตาลเข้มสลับสีน้ำตาลอ่อนเป็นลายขวาง ขนหางก็สีสลับแบบนี้ดูเป็นบั้งๆ ด้านหน้ามีสีขาวและมีลายสีน้ำตาล หัวสีน้ำตาลมีลายจุดเล็กๆสีอ่อนเต็มไปหมด ด้านหลังของหัวนกเค้าแคระ จะมีเส้นสีเข้มพาดเป็นลักษณะเหมือนหน้าของนกเค้าทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็น หน้าอีกหน้าหนึ่ง ช่วยหลอกตาศัตรูให้คิดว่าหันหน้ามาทางตัวเองได้

นก ตัวเล็กๆเป็นศัตรูกับนกเค้าแคระตัวจิ๋วนี้ เพราะอาหารของนกเค้านอกจากพวก กิ้งก่า หนู สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก จั๊กจั่น ด้วง และ ตั๊กแตน แล้ว ก็เป็นเหล่านกเล็กๆนี่เอง เมื่อเจอนกเค้าแคระที่ไหน นกเล็กๆจึงมักมารุมกันไล่จนบ่อยครั้งต้องขยับบินหนีไปเรื่อยๆ และไปเกาะซุ่มในกิ่งที่ชิดลำต้นเพื่อหาที่ซ่อนตัว ดักจับนกเล็กๆที่หลงเข้ามา นกเค้าแคระสามารถจับเหยื่อที่มีขนาดตัวพอๆกันหรือโตกว่าเล็กน้อยได้ด้วยกรง เล็บที่แข็งแรง โดยจะหาอาหารในช่วงกลางวันเป็นส่วนใหญ่ หากหากินกลางคืนก็มักเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง
นก เค้าแคระทำรังวางไข่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม โดยใช้โพรงไม้ธรรมชาติ หรือรังของนกอื่นที่ทำรังในโพรงไม้อย่างเช่นนกโพระดก โดยโพรงอาจเป็นรังเก่า หรืออาจมาจากการแย่งชิงเจ้าของโพรงก็ได้ ในบางครั้งอาจเป็นการฆ่ากินและปล้นชิงบ้านเลยก็เป็นได้ โพรงรังที่เลือกมักอยู่สูงจากพื้นราว2-10เมตร วางไข่ครั้งละ 3-5 ฟอง ลูกนกเค้าแคระจะออกจากไข่ในช่วงต้นฤดูฝนที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์พอดีซึ่งจะ เป็นผลดีต่อการรอดชีวิตของลูกนก เนื่องจากแม่นกเค้าจะกกไข่ตั้งแต่ออกไข่ฟองแรกทันที ในขณะเดียวกันก็จะออกไข่ใบอื่นๆไปด้วย ดังนั้นในแต่ละรังลูกนกเค้าจะมีอายุต่างกันพอสมควร ถ้าอาหารมีไม่พอเพียง ตัวที่ออกมาทีหลังตัวเล็กกว่าก็จะแย่งอาหารพี่ๆไม่ทันและตายไป

นก เค้าแคระเป็นนกเค้าที่พบได้บ่อยที่สุดในบริเวณป่าดงดิบชื้น ตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงระดับความสูง 3,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยจะพบบ่อยขึ้นที่ระดับสูงเกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป บริเวณภาคใต้ และ คาบสมุทรมาลายู จะพบได้บ่อยมากในระดับสูง 395 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป เป็นนกที่มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางมากในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และจีนตอนล่าง 
 นกเค้าแคะจัดเป็นนกเค้าแมวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงและมีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย